วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ชวนนั่งรถไฟ...ไปเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์



รีวิวฉลองหน้าหนาว ที่หนาวจริงๆ แล้ว เย้ๆๆๆๆ

หลังจากคราวก่อนรีวิวทริปของไปรษณีย์ไปพระราชวังเดิม มารอบนี้ รีวิวทริปของการรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่รู้เอมผูกพันอะไรนักหนากับรัฐวิสาหกิจ ปั่นรีวิวนี้กันออกมาก่อน (มีแต่รีวิวที่แซงหน้าอันที่ตั้งใจไว้ตลอดเวลา 555) มีสาเหตุเพราะ เส้นทางนี้จะมีแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เผื่อใครสนใจจะได้ไปเที่ยวชมกัน

เส้นทางรถไฟลอยน้ำเส้นนี้หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาแล้ว เพราะทางการรถไฟฯ จะมีการจัดทริปรถไฟในเส้นทางดังกล่าวทุกหน้าหนาว วันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม ยกเว้นช่วงปีใหม่ โดยตอนนี้ก็เหลือรอบวันที่ 23 24 ธันวาคม 13 14 20 21 27 28 มกราคม สำหรับค่าโดยสารก็จะอยู่ที่คนละ 270  บาท สำหรับทริป 1 วัน ไม่รวมอาหาร เป็นตู้แบบไม่มีแอร์ ตู้ปกติหลายท่านอาจเคยได้เห็นจากรีวิวอื่นๆ มาแล้ว แต่ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบคือ การรถไฟฯ เค้ามีให้เหมาตู้ได้แบบติดแอร์ ได้ด้วย ซึ่งทางญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนเอมได้ชวนญาติๆ ไปเที่ยว โดยรอบนี้เหมาไป 2 ตู้ เอมก็ได้โอกาสติดสอยห้อยตามไปเที่ยวอีกคน

สำหรับรถไฟขบวนพิเศษนี้ คือ รถพิเศษ 921 ปลายทางเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ กำหนดเวลารถออกคือ 7.10 น. นอกเหนือจากทริปไปเขื่อนป่าสักฯ แล้ว การรถไฟมีทริปพิเศษปลายทางน้ำตกไทรโยคที่กาญจนบุรี เส้นทางนั้นเอมก็สนใจเหมือนกันค่ะ ไว้มีโอกาสไปจะมาเล่าให้ทุกคนฟังนะคะ ^^




สถานีหัวลำโพง เพิ่งครบรอบ 100 ปี ไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง
รถออกจากชานชาลาที่ 5
ภายนอกตู้ที่เราเหมาพ่วงไปกับขบวนค่ะ ตู้ที่เอมนั่ง เป็นตู้สุดท้ายเลย รอบนี้มีคนเหมาตู้ที่เป็นติดแอร์พ่วงไปทั้งหมด 4 ตู้ เป็นของกรุ๊ปเอม 2 ตู้ หน้าตาแต่ละตู้จะไม่เหมือนกันนะคะ จำนวนคนที่รับได้ก็ไม่เท่ากัน และราคาก็ไม่เท่ากัน...-___-“”” ทั้งหมดนี้ สามารถโทรติดต่อกับทางการรถไฟฯ 1690 ได้ค่ะ โดยติดต่อที่ “ห้องตั๋วหมู่คณะ” ทางการรถไฟจะแจ้งายละเอียดให้เราทราบค่ะ

ของกรุ๊ปเอม ค่าเหมาตู้ 2 ตู้ อยู่ที่ 68,000 บาท(หมายเหตุว่า 2 ตู้ที่เหมา หน้าตาไม่เหมือนกันด้วย) เฉลี่ยราคาต่อตู้ที่เหมาก็ประมาณ 34,000 บาท (นั่งได้ตู้ละ 35 คน ก็คนละประมาณ 9 ร้อยกว่าบาท)



สภาพด้านในตู้ค่ะ ... ให้อารมณ์เหมือนนั่งรถไฟท่องเที่ยวในญี่ปุ่นมากๆ จริงๆ ส่วนหนึ่งที่มันได้อารมณ์เหมือนญี่ปุ่น เพราะเป็นตู้ของทาง JR แล้วเอามา renovate ค่ะ จริงๆ มีอีกตู้หนึ่งที่พ่วงมาด้วย ไม่แน่ใจว่าใช้ชื่อ OTOP หรือเปล่า อันนั้นก็เก๋ ดูเป็นญี่ปุ่นกว่าตู้ที่เอมนั่งอีกค่ะ มีห้องคาราโอเกะห้องเล็กๆ อยู่ในนั้นด้วย เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะเดินผ่านตอนจะลงรถแล้วเลยรีบๆ



ด้านหนึ่งของตู้เป็นห้องน้ำชาย และที่วางของ 

ห้องน้ำสำหรับผู้หญิง ต้องไปเข้าอีกด้านหนึ่งค่ะ ห้องน้ำงามมาก



อันนี้เป็นบรรยากาศในอีกตู้ที่เหมาไว้ค่ะ เก้าอี้ที่นั่งหน้าตาไม่เหมือนกัน แต่ทั้ง 2 ตู้มีส่วนที่เหมือนกันคือ มีส่วนของการเตรียมอาหาร เพราะขอให้ทางการรถไฟฯ ช่วยจัดอาหารไว้ให้ด้วย



เลยกำหนดเวลาออกไป 30 นาที... รถไฟ...ยังอยู่ที่เดิม 5555 เราก็ถ่ายรูปเพลินๆ ยาวไปค่ะ



สำหรับที่ให้ทางการรถไฟช่วยเตรียมอาหารให้ ทางการรถไฟคิดที่หัวละ 550 บาทค่ะ (ราคาจะเปลี่ยนแปลงแล้วแต่ว่าเราจะให้ทางเค้าช่วยจัดอะไรให้บ้าง) โดยในที่นี้ จะมีของกินช่วงเช้า 3 เมนู ของกินช่วงบ่าย 4 เมนู (คือกินกันไม่หยุดเลย) เครื่องดื่ม ชา กาแฟ เติมได้ตลอด ตอนบ่ายจะมีพวกน้ำสมุนไพรเพิ่มมาให้ด้วย แต่จะไม่รวมอาหารเที่ยงนะคะ โดยอาหารเที่ยงเราจะดูแลตัวเองกันที่ร้านอาหารที่เขื่อนป่าสักฯ 

เมนูแรกของช่วงเช้า ปาท่องโก๋จิ้มนมค่ะ


พอรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออก เราก็ได้เมนูถัดไป คือ ไกย่างบางตาล อร่อยดีค่ะ แอบเย็นไปนิด รอนานกว่ารถไฟจะออก 55555 

เนื่องจากเป็นตู้ที่พ่วงสุดท้าย เลยได้ไปยืนชมวิวถ่ายรูปด้านหลังได้โล่งๆ

สักพักพอหยุดที่สถานีภาชี ก็มีไอติมภาชีมาเสริฟให้ค่ะ ไอติมภาชีจะมาเป็นถ้วยน้อยๆ พร้อมหลอดดูด เป็นไอติมมะพร้าว หวานๆ อร่อยดีค่ะ ><

และแล้ว เราก็มาถึงจุดหมายของเราค่ะ ทางรถไฟลอยน้ำ



รถไฟจะหยุดตรงกลางทางเพื่อให้เราลงมาถ่ายรูปเล่นอย่างสนุกสนานค่ะ จอดให้ถ่ายรูปอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง คนอยู่ตู้แรกๆ และตู้หลังๆ ก็จะโชคดี สามารถเดินไปถ่ายต้นขบวนหรือท้ายขบวนได้ง่าย เอมเองก็ปักหลักอยู่ท้ายขบวนนี่แหละค่ะ วิวงามดีแล้ว ... แต่... ในความเป็นจริงคือ ขี้เกียจค่ะ ถ้าจะวิ่งไปถ่ายหัวขบวนเนี่ย.... ต้องวิ่งผ่านรถไฟไป 20 ตู้ คิดภาพดูแล้ว... ไม่น่าสนุกแม้แต่น้อย 55555

สักพัก ก็มีเจ้าหน้าที่มาให้สัญญาณให้ขึ้นบนขบวน 

รถไฟมาหยุดที่เขื่อนป่าสักค่ะ ตรงจุดนี้จะแวะให้เราทานข้าว เที่ยวเล่นประมาณ 4 ชั่วโมง ใครใคร่ทำอะไร ทำตามอัธยาศัยเลยค่ะ รถออกอีกครั้งตอน 15.30

รถจอดส่งพวกเราแล้ว จะวิ่งไปจอดรอที่อื่นค่ะ ใกล้ๆ เวลาจะกลับมารับเราอีกครั้ง

4 ชั่วโมงที่ได้มา... เราก็หาที่นอนกันค่ะ!!! ไม่ใช่แล้ว ก็หาอะไรกินกันก่อน จากนั้นก็แยกย้าย จะนั่งรถชมเขื่อนแบบนี้ก็ได้นะคะ มีเวลาเหลือเฟือ แต่... คิวรอนั่งก็ยาวมากเช่นกัน 

หรือจะเช่ารถกอล์ฟขับเองก็ได้นะคะ เหมือนจะชั่วโมงละ 350 แต่คิวก็ยาวมากเช่นกัน
เอมเองทานข้าวเสร็จก็เดินเล่นขึ้นบนหอคอยค่ะ ซึ่งบอกไว้ก่อนว่า เดินขึ้นนะคะ ลิฟท์มีแต่เหมือนจะเสีย เดินขึ้นนี่ ... ไม่เท่าไรค่ะแต่มันร้อนและอากาศไม่ถ่ายเทอย่างรุนแรง เสียดายว่า ถ้าเค้าทำหน้าต่างให้ลมผ่านเข้าออกได้ คงจะดีกว่านี้มากเพราะที่เขื่อนลมดีจริงๆ ค่ะ



หาที่นั่งเล่น รับลมเพลินๆ พอเคลิ้มๆ ก็ถึงเวลาต้องไปขึ้นรถไฟแล้วค่ะ รถไฟจะกลับมาจอดที่สถานีก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ขึ้นมาบนตู้ปุ๊บ เราก็กินกันต่อ ... ประหนึ่งทริปเพิ่มน้ำหนัก


ณ จุดนี้ เริ่มลืมๆ จะถ่ายรูปของกิน ด้วยความอิ่มง่วง ปล่อยเหล่าผู้หลักผู้ใหญ่ร้องคาราโอเกะกันไป (จริงๆ ก็มีร้องกันตลอดตั้งแต่ขามา เอมนี่นั่งฟังแต่ละท่านร้องเพลงเพลินเลย ... อย่าถาม ว่าเพลงยุคไหน 5555)
นั่งไปเรื่อยๆ ก็มีทางเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ มาเล่นเกมค่ะ เข้าใจว่าเล่นมาแล้วทุกตู้ ก็แจกของเป็นแสตมป์ กับการ์ด สำหรับแสตมป์ที่เอามาแจกตอนเล่นเกมจะเป็นชีทแสตมป์ 100 ปีหัวลำโพงค่ะ 


หุหุหุ แจกแสตมป์นี่... เข้าทางเอมเลย ชีทที่แจกจะเป็นชีทเวอร์ชั่นพิเศษของการรถไฟฯ นะคะ ซึ่งจะไม่เหมือนกับที่ไปรษณีย์ขายให้กับคนทั่วไป ชีทพิเศษที่แจกคือฝั่งขวานะคะ สำหรับฝั่งซ้ายเป็นแบบปกติที่ขายกันที่ไปรษณีย์ (แต่คาดว่าจะหมดไปแล้วค่ะ)
(เอากลับมาถ่ายรูปกับของที่บ้าน)
ไหนๆ ก็พูดถึงแสตมป์แล้ว ขอแถมอีกหน่อย คือนอกเหนือจากที่หัวลำโพงจะครบ 100 ปีไปเมื่อปีที่แล้ว (วันที่ 25 มิถุนายน 2559) ปีนี้ (2560) เมื่อตอนต้นปี ไปรษณีย์ก็มีออกแสตมป์ 120 ปีการรถไฟไทยมาด้วยค่ะ เป็นแสตมป์กลมๆ 4 ดวงรูปหัวรถจักร อันนี้เอมเห็นหลาย ปณ ยังมีเหลือๆ อยู่นะคะ ใครสนใจก็ไปจับจองเป็นเจ้าของกันได้ 

กลับมาที่รถไฟของเรากันต่อ เรื่องกินยังไม่หมด เมนูสุดท้ายของทริปนี้ พุดดิ้งมะพร้าวค่ะ อร่อยดีเหมือนกัน แต่หวานไปนิดสำหรับเอม ^^

รถไฟจะกลับเข้า กทม ช่วงเวลาเย็นๆ เราก็จะได้เห็นภาพพระอาทิตย์ตกงามๆ ระหว่างทางแบบนี้ 



ทริปนี้ก็จบลงเป็นที่เรียบร้อยค่ะ สำหรับใครที่สนใจอยากเที่ยวโดยรถไฟ แบบกลุ่มใหญ่ๆ ชวนญาติๆ ชวนเพื่อนๆ ไปเที่ยวพร้อมๆ กัน และนั่งสบายๆ (มีปลั๊กไฟสำหรับเสียบชาร์ตด้วย) ก็สามารถติดต่อการรถไฟเพื่อเหมาตู้แบบนี้ได้นะคะ  ตู้จะมีหลายแบบ เราอยากได้แบบไหนต้องลองปรึกษาทางการรถไฟฯ ดูค่ะ

โพสต์นี้ขอลากันไปก่อน ถ้ามีคำถามสงสัยอย่างไร ถามเอมมาได้นะคะ ^^ ยินดีให้ข้อมูล (เท่าที่ทราบ 55555) >< พบกันใหม่โพสต์หน้าค่ะ 

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาชมนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ชมพระราชวังเดิม ย้อนรอยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

วันนี้อยากที่จะชวนทุกคนไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ซึ่งบอกตรงๆ ว่า เอมก็เพิ่งรู้ว่ามีสถานที่แห่งนี้ก็ตอนโตแล้ว ตอนเด็กๆ ที่เรียนประวัติศาสตร์ชาติไทยกันมา ก็ไม่เคยมีเนื้อหาที่บอกว่าตอนที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี มีพระราชวังอยู่ตรงไหน รู้จักก็แต่พระบรมมหาราชวังซึ่งก็เป็นสมัยรัตนโกสินทร์แล้ว ยังคิดว่าหรือจะไม่มีหลักฐานอะไรเหลืออยู่แล้วหรือเปล่านะก็เลยไม่เคยมีใครพูดถึง

จนกระทั่งโต (จนเริ่มแก่) อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มากขึ้น ก็เจอชื่อ "พระราชวังเดิม" ก็สนใจ อยากไปชม แต่ก็รู้มาว่าอยู่ในเขตของทหารเรือและปกติไม่ได้เปิดให้เข้าชม ก็เฝ้ารอโอกาสว่าเมื่อไรจะมีเปิดให้เข้าชม และแล้วโอกาสอันดีก็มาถึง ^^

ก่อนจะไปเที่ยว ก็ขอเล่าที่มานิดนึงนะคะ เหตุเกิดจากเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ไปรษณีย์ได้ออกแสตมป์ชุดใหม่ ชุด  250 ปี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 


หลายคนอาจจะงงๆ ว่า อ้าวแล้วทำไมไม่ออกแสตมป์วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม จริงๆ แล้วมันมีความต่างกันเล็กน้อย วันที่ 28 ธันวาคม 2310 เป็นวันที่พระองค์ท่านปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ แต่ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย คือวันที่ 6 พฤศจิกายน 2310 เป็นวันที่พระองค์ท่านกอบกู้อิสรภาพคืนได้สำเร็จ ซึ่งแสตมป์ที่ออกครั้งนี้ ต้องการที่จะระลึกถึง 250 ปี แห่งการกอบกู้อิสรภาพ จึงเลือกที่ออกมาในช่วงวันที่พระองค์กอบกู้อิสรภาพ โดยภาพที่ใช้ จะเป็นภาพพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงม้าออกศึก ที่ประดิษฐานอยู่ที่สวนสาธารณะทุ่งนาเชย อ.เมือง จ.จันทบุรี อนุสาวรีย์นี้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงเสด็จฯ เปิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2524 ค่ะ 
** มีเกร็ดเล็กน้อย คืออนุสาวรีย์แห่งนี้ จะหันหน้าไปทางที่ตั้งของ จ.อยุธยา เหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่าจะเข้าไปกอบกู้อิสรภาพ ในขณะที่อนุสาวรีย์ท่านที่วงเวียนใหญ่จะหันไปทางจันทบุรีค่ะ **

จากที่ไปรษณีย์ออกแสตมป์ดวงนี้ ก็มีการจัดแสตมป์เสวนาขึ้น ในหัวข้อ เปิดตำนานพระราชวังเดิม โดยเชิญ พลเรือเอกประเจตน์ ศิริเดช อดีต ผบ.ทร. และ พญ.คุณหญิงนงนุช ศิริเดช อดีตนายกสมาคมภริยาทหารเรือ มาเล่าเรื่องราวเบื้องหลังการบูรณะพระราชวังเดิมให้ฟังกัน และจากงานนี้เราก็ได้ข้อมูลว่า ไปรษณีย์จะมีจัดทริปแสตมป์พาเที่ยว เพื่อพาไปชมพระราชวังเดิม เย้ๆๆๆ


หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีโฆษณามาทางไลน์ stamp in love และในเพจ Thai Stamp Museum ก็เลยสมัครไปเลยค่ะ ค่าใช้จ่ายคนละ 499 บาท ไม่รวมค่าข้าวเที่ยง นอกเหนือจากไปชมพระราชวังเดิมแล้ว ก็มีไปวัดอีก 2 วัด ที่มีความเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชค่ะ คือวัดบางเดื่อ และวัดอินทาราม
** ทริปแบบนี้ ไปรษณีย์ไม่ได้จัดประจำค่ะ เห็นว่าปีนี้เพิ่งมีเป็นครั้งที่ 2 ต้องคอยติดตามข่าวคราวจากทางเพจเรื่อยๆ **

วันเดินทาง เราเริ่มต้นกันที่นี่ค่ะ ไปรษณีย์สามเสนใน 


ไปกับรถบัสของไปรษณีย์... คันนี้...



ในราคา 499 นอกจากค่าทริป ค่าอาหารเช้า (ข้าวเหนียว + หมูฝอย) และขนมบ่ายแล้ว เรายังได้ของที่ระทึกเล็กน้อยค่ะ



โปสการ์ดพระเจ้าตาก (ขออนุญาตเรียกสั้นๆ นะคะ) จะมีแสตมป์ติดมาให้ด้วยค่ะ ใช้ส่งได้เลย

คนครบ ก็ออกเดินทางไปที่วัดบางเดื่อกันก่อนเลยค่ะ วัดบางเดื่อจะอยู่ที่ อ บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา เล่ากันว่าเป็นวัดที่พระเจ้าตากใช้เป็นที่วางแผนเข้าตีค่ายโพธิ์สามต้น ที่อยู่ห่างจากวัดไปประมาณ 10 กิโลเมตร สิ่งก่อสร้างในวัดนี้ไม่ใช่ของเดิมสมัยกรุงธนบุรีนะคะ 


มีป้าๆ มาทำขนมครกตอนรับด้วย อร่อยมาก ><




ที่อุโบสถบริเวณหน้าบัน จะมีตราแผ่นดินหรือตราอาร์มอยู่ด้วยค่ะ จึงสันนิษฐานว่าอุโบสถนี้น่าจะสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5


ที่วัดนี้มีสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรมด้วยนะคะ สามารถมาได้เสาร์อาทิตย์ ไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ เท่าที่เอมเห็นก็ดูสงบดีนะคะ ติดริมน้ำด้วย

จากวัดบางเดื่อเราก็ไปหาอะไรกินกันที่ตลาดน้ำอโยธยาค่ะ แต่เดินตลาดน้ำแบบนี้ ไม่ค่อยแนวเอมเท่าไร เลยกินอะไรนิดหน่อยแล้วไปเดินเล่นบริเวณใกล้ๆ แทน เห็นเจดีย์เก่าๆ อยู่ไม่ไกล อ่านที่ป้าย เรียกตรงนี้ว่าวัดช้างค่ะ อยู่ไม่ไกลจากวัดมเหยงค์ สามารถเดินถึงกันได้ 

ช้างที่มาประกอบฉาก เดินรับนักท่องเที่ยวมาจากที่ตลาดน้ำค่ะ ไม่ทันดูว่าราคาเท่าไรเหมือนกัน

ด้านในตลาดน้ำ เสาร์อาทิตย์ เห็นว่ามีโชว์ของสำนักดาบพุทไธสวรรย์รอบเที่ยง แต่เวลาไม่พอดีกับที่ต้องกลับมาขึ้นรถ เลยอดชมไป ... เสียดายจัง

ต่อจากตลาดน้ำ ก็ตีรถยาวมาถึงพระราชวังเดิมค่ะ ก็เล่นเกมซ่อนตาดำกันมาในรถ พระราชวังเดิมจะอยู่ในเขตของกองทัพเรือค่ะ ติดกับวัดอรุณฯ ไม่ได้เปิดให้เข้าชมโดยทั่วไปค่ะ ต้องมีทำเรื่องมาเพื่อขอเข้าชมเป็นหมู่คณะ แต่ในวันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะเปิดให้เข้าชมฟรีนะคะ เห็นทางมูลนิธิโบราณสถานพระราชวังเดิมซึ่งเป็นผู้ดูแลพระราชวัง แจ้งว่า จะมีประกาศประชาสัมพันธ์อีกครั้งผ่านทางวิทยุของกองทัพเรือ และหนังสือพิมพ์ค่ะ


จากด้านหน้าพอเดินเข้ามา มองไปทางซ้าย ก็จะเห็นพระปรางค์วัดอรุณฯ ค่ะ


เดินมาจนถึงริมน้ำ เลี้ยวขวาแล้วก็เลี้ยวขวาเข้าประตูไปในเขตพระราชวังค่ะ แต่ถ้าเดินเลียบริมน้ำไป ก็จะไปถึงป้อมวิไชยประสิทธิ์ค่ะ (หรืออาจเรียกอีกชื่อว่าป้อมวิไชยเยนทร์) ซึ่งป้อมนี้สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตั้งตามชื่อของพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) จริงๆ ฝั่งตรงข้ามบริเวณโรงเรียนราชินีก็เคยมีป้อมที่คู่กันอยู่ค่ะ แต่รื้อออกไปตั้งแต่สมัยพระเพทราชา 

มองเห็นป้อมตรงจุดที่มีธง

เสียดายมากว่าไม่มีโอกาสได้ไปชมที่ป้อมค่ะ เนื่องจากเวลาจำกัดมากจึงทำให้ได้ชมด้านในแค่ไม่กี่ส่วน T^T แอบเสียดาย กะว่าวันที่ 28 ธันวา เราจะมาชมใหม่ให้ครบทุกส่วนให้ได้ค่ะ

ภายในเขตพระราชวังเดิม ในส่วนของที่เป็นด้านในอาคารเกือบทั้งหมดจะห้ามถ่ายรูปนะคะ ซึ่งทางมูลนิธิฯ ก็ให้ข้อมูลว่า สิ่งก่อสร้างโดยส่วนใหญ่ที่เราเห็นอยู่นี้ จะเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นมาภายหลังค่ะ โดยหลังจากที่ย้ายราชธานีไปฝั่งกรุงเทพ ที่พระราชวังเดิมก็เป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ โดยที่แห่งนี้เป็นที่ประสูติของพระมหากษัตริย์ 3 พระองค์ด้วยกันคือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี 2443 ก็ได้พระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ต่อมาโรงเรียนนายเรือก็ย้ายไปที่อื่น พื้นที่ตรงพระราชวังเดิมก็ถูกใช้ในราชการของกองทัพเรือมาโดยตลอด ก่อนที่จะมีการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ตั้งแต่ช่วงปี 2538 ซึ่งใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งตอนที่ซ่อมแซมเสร็จ ก็มีการออกแสตมป์มาชุดหนึ่งด้วย คือชุดพระราชวังเดิม เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นหนึ่งในชุดอนุรักษ์มรดกไทย ซึ่งจะออกในวันอนุรักษ์มรดกไทยของทุกปี 


พอเข้าไปด้านใน เจ้าหน้าที่ก็จะให้เราเข้าไปตรงเรือนเขียวค่ะ เป็นเรือนไม้ สร้างสมัยก่อตั้งโรงเรียนนายเรือเพื่อใช้เป็นอาคารพยาบาลค่ะ


ฟังบรรยายเกี่ยวกับประวัติของพระราชวังเดิมเสร็จแล้ว เราก็เดินไปบริเวณตำหนักเก๋งคู่ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมไทย สร้างในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ จะมีตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่ และตำหนักเก๋งคู่หลังเล็ก โดยหลังใหญ่ จะจัดแสดงเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าตาก สินค้าส่งออก การค้าขายสมัยกรุงธนบุรี ส่วนหลังเล็ก จะจัดแสดงเกี่ยวกับการรบ อาวุธ ซึ่งของที่จัดแสดงทั้งหมด ไม่ได้เป็นของสมัยพระเจ้าตากนะคะ 

ซ้ายมือเป็นหลังเล็ก ขวามือเป็นหลังใหญ่ค่ะ
ถัดจากที่ตำหนักเก๋งคู่ เราก็ไปกันที่ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชค่ะ หลังปัจจุบันนี้สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์เสด็จมาประทับที่นี่ 



ระหว่างศาลพระเจ้าตาก กับพระตำหนักเก๋งคู่ จะมีศาลเล็กๆ เรียกว่า ศาลศีรษะปลาวาฬ ซึ่งมีกระดูกส่วนหัวกะโหลกและขากรรไกรทั้ง 2 ข้างของวาฬบรูด้าตั้งอยู่ โดยกระดูกนี้ขุดพบจากใต้ถุนศาลพระเจ้าตาก และศาลศีรษะปลาวาฬนี้สร้างขึ้นใหม่บนฐานของศาลหลังเดิมตามร่องรอยที่ขุดค้นพบ 


จากตรงจุดนี้ เราก็ไปตรงส่วนของท้องพระโรงกรุงธนบุรี จริงๆ แต่ละส่วนคืออยู่ติดๆ กันเลยค่ะ แทบไม่ต้องเดินเลย


อาคารท้องพระโรงนี้ เป็นอาคารเดียวที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีค่ะ สร้างขึ้นราวปี 2311 มีลักษณะเป็นพระที่นั่ง 2 องค์เชื่อมต่อกันลักษณะเป็นตัว T โดยส่วนที่เป็นแนวขวางของตัว T จะเป็นพระที่นั่งองค์ทิศใต้ หรือเรียกกันว่าพระที่นั่งขวาง เป็นส่วนที่ประทับส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ส่วนพระที่นั่งองค์ทิศเหนือ เรียกว่าท้องพระโรง ใช้เป็นที่เสด็จออกขุนนางและประกอบพิธีสำคัญๆ ปัจจุบันในส่วนอาคารท้องพระโรงทางกองทัพเรือก็ยังใช้ในกิจการสำคัญๆ ค่ะ 

ส่วนของท้องพระโรง
พระที่นั่งองค์ทิศใต้จากอีกด้านหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวค่ะ ซึ่ง... เราไม่ได้ไปชมเนื่องจากปิดปรับปรุงอยู่ค่ะ T^T 

เดินกลับออกมาบริเวณริมน้ำ จะมีอนุสาวรีย์พระเจ้าตากประดิษฐานอยู่นะคะ ระหว่างที่ยืนตรงนี้เอมเห็นมีเรือนำเที่ยวของจีนพามาหยุดตรงจุดนี้หลายลำเลย


ออกจากที่พระราชวังเดิม เราก็ไปยังที่สุดท้ายกันค่ะ คือที่วัดอินทาราม วัดนี้เป็นวัดเก่า มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการชะลอพระประธาน หรือพระพุทธชินวร มาจากสุโขทัย หลวงพ่อเล่าว่าวัดนี้เป็นวัดที่พระเจ้าตากมาทรงศึกษาพระไตรปิฎก มีวิหารพระไตรปิฎกที่มีพระธรรมเป็นพระประธาน 


วัดนี้เป็นวัดที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพระเจ้าตาก นอกเหนือจากที่เป็นวัดที่ทรงมาศึกษาพระไตรปิฏกแล้ว ยังเป็นวัดที่เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพ และบรรจุพระบรมอัฐิ

จารึกที่เห็น หลวงพ่อบอกว่าเป็นตำรายาค่ะ


ด้านในของพระวิหารพระเจ้าตาก มีพระแทนที่บรรทมไสยาสน์ของพระเจ้าตากซึ่งเป็นไม้ประดับด้วยงาช้าง



ที่วัดมีพระอุโบสถหลังเก่า ซึ่งมีพระประธานด้านใน 25 องค์ หลวงพ่อเล่าว่า โบสถ์นี้เป็นโบสถ์มหาอุตม์ เดิมจะมีประตูเข้าออกแค่ทางเดียว เหมาะที่จะใช้ในการทำพิธีปลุกเสกต่างๆ ด้านหน้าจะมีเจดีย์อยู่ 2 องค์ โดยเล่ากันว่าเป็นที่บรรจุพระอัฐิของพระเจ้าตาก และพระมเหสีของพระองค์ค่ะ



สำหรับทริปแสตมป์พาเที่ยวของไปรษณีย์ ก็สิ้นสุดเรียบร้อยค่ะ เอมว่าโดยรวมแล้วจัดได้ดีเลยนะคะ เสียดายตรงส่วนที่เข้าชมพระราชวังเดิมที่ได้เวลาค่อนข้างน้อย (มาก) เพราะเสียเวลากับการเดินทางไปเยอะ ถ้าตัดโปรแกรมบางส่วนออก แล้วมาเพิ่มในส่วนของการเข้าชมพระราชวังเดิมให้มากขึ้นจะดีมากเลยค่ะ เพราะเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถเข้าชมได้บ่อยๆ เหมือนที่อื่นๆ 
อย่างไรก็ดี วันที่ 28 ธันวาคม นี้ที่ทางกองทัพเรือจะเปิดให้เข้าชม คงจะได้หาเวลาไปชมอีกครั้งหนึ่งค่ะ

เจอกันใหม่โพสต์หน้านะคะ ^^